Shades of Morocco

เรียกได้ว่าใครที่ชอบความ colorful ต้องลองมาดูสักครั้ง! ซึ่งแต่ละเมืองก็จะมีโทนสีที่แตกต่างกันออกไป และสถาปัตยกรรมของที่นี่สวยมากจริงๆ ปกติเราเป็นคนที่ไม่สนใจพวกศาสนสถานหรือวังต่างๆเวลาไปเที่ยวเลย แต่กับที่นี่คือดูแล้วดูอีกไม่มีเบื่อ

และอีกไฮไลท์นึงของการมาประเทศนี้คือ การขี่อูฐและไปนั่งชมพระอาทิตย์ตกที่ทะเลทรายซาฮาร่า

99.99% ของคนที่มาขี่อูฐได้รูปสวยๆกลับไปเพียบ แต่ไม่ใช่เรา ทำไมอะหรอ เดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง 555555555555

อาหาร Local ของโมรอคโคจะประมาณนี้ เริ่มด้วยขนมปังแบน ๆ มีทุกร้านเลย เครื่องเคียงก็จะเป็นพวกข้าวหรือผักต่าง ๆ คลุกกับเครื่องเทศ

ส่วนจานหลักจะเป็น Tajine เป็นพวกเนื้อสัตว์หรือผักตุ๋นกับเครื่องเทศและสมุนไพรต่างๆ เลือกได้ว่าจะเอาเนื้อ ไก่ หรือผักอะไรก็ว่ากันไป ใครที่ไม่ชอบเครื่องเทศอาจจะยากนิดนึง แต่เราชอบพวกเครื่องเทศอยู่แล้วก็แฮปปี้เลย

ส่วนวิวข้างทางโดยรวมตลอดทริปก็จะประมาณนี้ค่ะ แห้ง ๆ ร้อน ๆ มีเจอโอเอซิสบ้างประปราย

ขอเตือนนิดนึงว่าครีมกันแดด มอยซ์เจอไรเซอร์ และลิปมันจำเป็นมาก ๆ สำหรับทริปนี้ ถ้าไม่มีต้องซื้อเลยค่ะ ผิวแห้ง แดดเผา ปากแตกจนเป็นแผลถ้าไม่ขยันทาลิปมัน ต่อให้ดื่มน้ำเยอะแล้วก็ตาม ถ้าใครโดนแดดเผาจนหน้าแดงแสบ ลองใช้ Argan Oil ทาดูค่ะ หาซื้อได้ง่ายแทบจะทุกเมืองเลย แสบหน้าลอกแค่ไหนตื่นมาผิวก็คืนสู่สภาพปกติ เราซื้อกลับมาหลายขวดเลย

อ่ะมาพูดถึงแต่ละเมืองกันบ้างเริ่มต้นกันที่ Marrakesh หรือที่หลายคนเรียกกันว่า "The Pink City" เพราะอาคารบ้านเรือนในเมืองนี้จะโดนสีออกแดง ๆ ชมพู ๆ บางคนก็เรียกว่า Rose City บ้าง Red City บ้าง แล้วแต่ สำหรับใครที่กำลังตามหาซีนเป่าปี่แล้วมีงูออกมาจากไหนี่เชิญที่ Jemaa el-Fnaa เลยจ้า เป็นตลาดใจกลางเมืองเก่าที่นอกจากจะมีดีที่ของขายเยอะแล้วก็มีโชว์นี้แหละ แต่ถ่ายรูปตอนเค้าเป่าปี่เสียเงินเน้อ จำไม่ได้แล้วว่ากี่ DH

ร้านค้าในโซนเมืองเก่าก็จะขายพวกเครื่องเทศ ถั่ว พรม เครื่องหนังต่าง ๆ แต่ละร้านสีสันสดใสมาก

หลังจากเดินสำรวจเมืองเก่าอากาศร้อนๆมาก็แวะเข้ามาชมวังซะหน่อย ที่นี่คือ Palais de la Bahia ข้างในคือเย็นสบาย คนละโลกกับข้างนอกเลย เรื่องสถาปัตยกรรมนี่ไม่ต้องพูดถึง สวยอยู่แล้ว

มุมนี้ถ้ารอตอนไม่มีคนจะสวยมาก สีดี แสงดี แต่รอแล้วรออีกก็มีคนมายืนเรื่อยๆ โอเคยอมแพ้ 55555

ส่วนภาพนี้เราจำไม่ได้ว่าอยู่ตรงไหนของ Marrakesh แต่อยู่แถว ๆ ใจกลางเมืองที่แหละ สวยดี

ต่อกันที่ Aït Benhaddou ที่นี่เป็นเมืองป้อมปราการโบราณ เดินเล่นได้เพลินๆ ระหว่างทางก็มีร้านขายของที่ระลึก แล้วก็มีผ้าหลากสีขายอีกเช่นเคย

แต่ซีนที่เราชอบที่สุดของที่นี่คือตรง Rooftop Cafe แห่งหนึ่ง คือดีมากกก เอาไปเลย 10 10 10

ที่ต่อไปคือ Fes เมืองเก่าที่นี่เป็นอีกเมืองเก่าที่เราชอบมาก แต่ถ้าเดินเองแบบไม่มีไกด์ก็จะหลงได้ง่ายมากเช่นกัน คือมันซับซ้อนอย่างกับเขาวงกต ถ้าเดินเองไม่น่าได้ออกมาข้างนอกอีกเลย 555555

และแน่นอนว่าซีนที่เราชอบที่สุดของที่นี่ก็คือ Chouara Tannery ดูเผิน ๆ เหมือนคนขึ้นไปยืนบน Color Palette เลย ที่นี่เป็นโรงฟอกหนังเก่าแก่ ก่อนขึ้นไปจุดชมบ่อฟอกหนังเค้าก็จะแจกใบมิ้นท์ให้ดมด้วย เนื่องจากกลิ่นแรงมาก ฉุนมาก ขนาดดมแล้วยังเวียนหัว โซนขายกระเป๋าก็กลิ่นแรงเชียว ถ้าซื้อกลับบ้านไปกลิ่นนี้คงอยู่กับเราไปอีกหลายเดือน

ระหว่างทางก็มีของต่าง ๆ ขาย เช่นพวกจานชามลายสวย ๆ

สถาปัตยกรรมสวยจริง ๆ ถ่ายรูปเพลินเลย

อีกที่นึงที่เราชอบในเมือง Fes คือ Bou Inania Medersa ที่นี่เป็นทั้งมัสยิดและสถานที่สอนศาสนา สวยมาก และคนเยอะตลอดเวลา

ตอนฝนตกก็สวยไปอีกแบบ ถ้าไม่นับความน้ำท่วมและไหลเป็นน้ำตกตลอดทางจนต้องหนีเข้าร้านอาหาร 5555555 เข้าใจแหละว่าประเทศเค้าฝนตกไม่ค่อยบ่อย พอฝนตกทีน้ำเลยระบายไม่ทัน คนอย่างเราก็ยังอุตส่าห์ไปเจอฝนในเมืองทะเลทรายจนได้อะเนอะ

พูดถึงทะเลทรายก็มาเที่ยวทะเลทรายซะหน่อย Merzouga - Sahara Desert ครั้งแรกในชีวิตกับการนั่ง 4WD ลุยทะเลทรายและขี่อูฐ ระยะทางค่อนข้างไกลทีเดียว เราไปช่วง4-5โมงเย็น อากาศเลยเย็นสบายมาก แถมขากลับยังเจอฝนตกอีก บอกเลยว่าสดชื่นกว่าทุกวันที่ผ่านมา

การขี่อูฐของเราทุลักทุเลและไม่ได้มีความเท่ใด ๆ เลย มือนึงจับแฮนด์ อีกมือถือกล้อง รู้สึกเหมือนจะตกตลอดเวลา ภาวนาให้น้องเดินดี ๆ ไม่ข้อเท้าพลิก

ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงก็มาถึงจุดชมวิวแล้ว ก็ต่างคนต่างนั่งหามุมถ่ายรูปกันไป เราก็ไปนั่งตรงสันทรายสูง ๆ เพื่อที่จะนั่งถ่ายรูปพระอาทิตย์ตกชิลล์ ๆ แต่คนที่จูงอูฐของเราเค้าบอกว่าเอ้ยอย่าเพิ่ง ๆ วางกล้องลงก่อน เราก็งงว่าทำไม เอากระเป๋ากับกล้องเราไปให้แม่ถือหมดเลย แล้วก็ให้พ่อถ่ายรูปให้เรา เราก็อะ ๆ ถ่ายก็ได้ พอหันไปมองกล้องเท่านั้นแหละ

ฟึ่บ! โดนลากลงมาเลยจ้า 555555 จำได้ว่ากรี๊ดดังมาก เพราะไม่ทันตั้งตัว ตกใจ และมันสูงมาก แถมชันพอสมควร (ถึงในรูปจะดูไม่ค่อยสูงก็เถอะ) ซีนเท่ ๆ ในหัวกระจุยหมดเลย ได้ภาพนี้มาแทน เป็นอะไรที่น่าจดจำมาก กับคนอื่นคือปูพรมให้เล่นสไลด์เดอร์อย่างดี แล้วดูสภาพเราสิ ฮือ เงาแค้นคนจูงอูฐ

ต่อไปคือ Todra Gorges ช่องเขาที่มีลำธารใส ๆ ไหลผ่าน อากาศเย็นดี

และเจอหมาที่เชื่องมาก 1 ตัว รู้สึกโมรอคโคไม่ค่อยมีหมาเลย (น่าจะเป็นเรื่องของศาสนา) แต่แมวเยอะมาก มีทุกซอกทุกมุม ถ้าเตรียมขนมแมวเลียไปด้วยยังไงก็หมดเกลี้ยง 55555

ที่นี่มีเสื้อผ้าพื้นเมืองสีสันสดใสขายตลอดทาง ราคาประมาณ 300 DH ลองเลือก ๆ ดู ต่อให้ใส่ถ่ายรูปครั้งเดียวก็คุ้มอยู่ 555555

มาถึงเฉดสีฟ้ากันบ้าง ที่ Kasbah des Oudaias เมือง Rabat เป็นเมืองป้อมปราการโทนสีฟ้าขาว ที่นอกจากจะโดดเด่นในเรื่องของสีสันแล้ว ยังมีแมวเยอะมาก ประมาณว่าเดิน 10 ก้าวเจอแมว 1 ตัว

มีของที่ระลึกเก๋ ๆ ขายตามทาง แล้วก็มีจุดให้เดินไปถ่ายวิวทะเลได้ด้วย

Kej Hnana เป็นซีนระหว่างทางที่ชอบ ทะเลสาบกับท้องฟ้าสวย ๆ แต่อธิบายไม่ถูกว่ามันอยู่ตรงไหน รู้แค่อยู่ระหว่างทางจาก Fes ไป Volubilis

Volubilis เป็นเมืองเก่าโรมันที่แดดร้อนมากกกก ไม่ค่อยมีที่ให้หลบแดด และไม่ค่อยมีอะไรเท่าไหร่

สังเกตจากสีของท้องฟ้าน่าจะรู้ว่าแดดเผาขนาดไหน 555555

ปิดท้ายทริปนี้กันที่ Casablanca เป็นเมืองศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของโมรอคโค Casablanca เป็นภาษาสเปน แปลว่า "บ้านสีขาว" ซึ่งแน่นอนว่าที่นี่รายล้อมไปด้วยตึกสีขาวที่ดูทันสมัย ใครมาคาซาบลังกาก็อย่าลืมมาลองเบียร์ของที่นี่ล่ะ ใช้ได้อยู่

ที่ที่เราชอบมากในคาซาบลังกาคือ Hassan II Mosque เป็นมัสยิดที่ใหญ่ที่สุดของโมร็อคโคและของทวีปแอฟริกา และมีหออะซานที่สูงที่สุดในโลก สวยทุกมุม และกว้างมากกกกก

ที่นี่สวยและยิ่งใหญ่มากจริง ๆ

แม้การมาอยู่ประเทศมุสลิมถึง 10 วันจะทำให้สายเนื้อ (วัวนะจ้ะ) อย่างเราโหยหากะเพราหมูและหมูกระทะทันทีที่กลับไทยอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แต่ก็ชอบที่ได้มาสัมผัสวัฒนธรรม สีสันของที่นี่ รวมถึงความมีเอกลักษณ์ของผู้คนที่นี่ด้วย

ประเทศนี้นอกจากจะเหมาะกับคนที่ชอบพวกสีสัน ชอบเดินเมืองเก่าแล้ว ยังเหมาะกับคนรักแมวอีกด้วย คอนเฟิร์มว่าแมวเยอะทุกเมือง! จนจะทำอัลบั้มรวมแมวได้เลย 55555

ถ้าถามว่าอยากมาซ้ำไหม ก็อยาก แต่คงต้องขอเว้นระยะซักหลายๆปีก่อน เพราะไกลเหลือเกิน นั่งเครื่องบิน 16 ชม. แน่ะ